ณเดชน์ คูกิมิยะ ชื่อเล่น แบรี่ เกิดเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2534 เป็นนักแสดงและนายแบบลูกครึ่งไทย-ออสเตรีย มีชื่อเสียงจากผลงานแสดงทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 โดยเฉพาะละครเรื่อง "ดวงใจอัคนี, เกมร้ายเกมรัก" ซึ่งแสดงร่วมกับอุรัสยา เสปอร์บันด์ เป็นผู้นำเสนอภาพยนตร์โฆษณาสินค้าต่าง ๆ มากมาย เข้าร่วมในกิจกรรมรณรงค์ด้านสังคม งานการกุศล เช่น เป็นพรีเซ็นเตอร์ รณรงค์เชิญชวนชายไทยคัดเลือกทหาร ให้กับทางกองทัพบก การได้รับเลือกจากสภากาชาดไทย เป็นทูตรณรงค์เผยแพร่ความรู้ต้านภัยมะเร็งเต้านมในปี 2554-2555 ได้รับเลือกจากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ให้เป็นทูตพระพุทธศาสนาวิสาขบูชานานาชาติ เป็นต้น มีผลงานการพากย์เสียงการ์ตูน และได้รับรางวัลผลงานดีเด่นในวงการบันเทิงมากมาย
จากการที่ประชาชนพบเห็นณเดชน์ปรากฏตัวผ่านสื่อต่าง ๆ มากมายอยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็น ละครโทรทัศน์, ภาพยนตร์, โฆษณา, นิตยสาร ฯลฯ ทำให้บางกอกโพสต์ เรียกณเดชน์ว่า "มิสเตอร์เอพวี่แวร์" ความสำเร็จในวงการบันเทิง อาทิเช่น ได้รับฉายา "ซุปตาร์พันธุ์ข้าวเหนียว" จากสมาคมนักข่าวบันเทิงในปี พ.ศ. 2554 การได้รับรางวัล "ขวัญใจมหาชน" จากงาน สยามดาราสตาร์อวอร์ด 2011 รวมทั้งรางวัลนักแสดงนำชายดีเด่นในหลาย ๆ สถาบันที่สำคัญ จากละครเรื่อง "เกมร้ายเกมรัก" ได้แก่ รางวัลเมขลา ครั้งที่ 24, รางวัลนาฏราช ครั้งที่ 3, สยามดาราสตาร์อวอร์ด 2012 เป็นต้น ไปจนถึงได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 6 ดาราแห่งศตวรรษ และ 1 ใน 12 คนบันเทิง ผู้ทรงอิทธิพลครึ่งปีแรก 2555 โดยนิตยสารวิเคราะห์วงการบันเทิง รีเควส รวมทั้งดาราทรงอิทธิพลในวงการบันเทิง โดยหนังสือพิมพ์ ดาราเดลี่ เป็นต้น ไปจนถึงผลการสำรวจความนิยมในอันดับ 1 ของสถาบันต่าง ๆ มากมาย
ณเดชน์ คูกิมิยะ ชื่อเล่น แบรี่ เป็น ลูกครึ่งไทย-ออสเตรีย เกิดเมื่อวันอังคารวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2534 ที่จังหวัดขอนแก่น โดยชื่อจริงมารดาบุญธรรมเป็นผู้ตั้งให้ เป็นคำประสมระหว่าง ณ+เดชน์ มีความหมายว่า "ที่แห่งนั้นจะมีฤทธิ์มีเดช" โดยความหมายในพจนานุกรม คำว่า "เดชน์" แปลว่า "ลูกศร" ส่วนชื่อเล่นเดิมบิดาชาวออสเตรียตั้งให้ว่า "แบร้นด์ (Brand)" แต่เนื่องจากอ่านออกเสียงค่อนข้างยาก ครอบครัวของเขาจึงเรียกเพี้ยนมาเป็น แบรี่ หมายถึง "สิ่งที่อยู่บนท้องฟ้า" มีฉายาที่เรียกกันในกลุ่มเพื่อนฝูงคนสนิทว่า "ป๋าแว่น" เพราะใส่แว่นตามาตั้งแต่เด็ก และเคยมีรูปร่างอ้วนมาก่อน
ณเดชน์เติบโตและอาศัยอยู่ที่ขอนแก่นกับสุดารัตน์ คูกิมิยะ มารดาบุญธรรมชาวอีสานเชื้อสายจีนผู้มีศักดิ์เป็นป้าซึ่งประกอบธุรกิจส่วนตัว และบิดาบุญธรรมชาวญี่ปุ่นคือโยชิโอ คูกิมิยะ เป็นวิศวกรไฟฟ้าซึ่งทำงานในกรุงเทพมหานคร ส่วนบิดาบังเกิดเกล้าเป็นชาวออสเตรีย และมารดาบังเกิดเกล้าเป็นน้องสาวแท้ๆของสุดารัตน์ ณเดชน์เดิมชื่อชลทิศ ยอดประทุม โดยหลังจากโยชิโอและสุดารัตน์รับอุปการะเป็นบุตรบุญธรรม จึงเปลี่ยนชื่อเป็นณเดชน์ คูกิมิยะ ถึงแม้โยชิโอจะเป็นพ่อบุญธรรมของณเดชน์ แต่ณเดชน์ก็ไม่สามารถพูดภาษาญี่ปุ่นได้ เพราะโยชิโอไม่เคยสอน เมื่อสนทนากันโยชิโอจะใช้เพียงภาษาไทยกับภาษาอังกฤษเท่านั้น
ณเดชน์เล่าถึงความสัมพันธ์ในครอบครัวว่า โยชิโอและสุดารัตน์มีวิธีการเลี้ยงดูที่ต่างกัน โดยณเดชน์สนิทสนมคุ้นเคยกับสุดารัตน์มากที่สุด เพราะอยู่ใกล้ชิด โทรศัพท์ถึงกันทุกวัน ดูแลถามไถ่เรื่องอาหารสุขภาพ ไม่ดุ ส่วนโยชิโอจะคุยกันแบบผู้ชาย เรื่องวางแผนในอนาคต อาชีพการงาน และเรื่องผู้หญิง ทั้งนี้พ่อและแม่ที่แท้จริงของณเดชน์ได้แยกทางกันไปตั้งแต่ณเดชน์ยังเด็ก ๆ และณเดชน์ก็ไม่เคยเจอหน้าพ่อแท้ ๆ เลย ซึ่งณเดชน์สงสัยที่มาที่ไปของตัวเองมาตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นอนุบาล จนกระทั่ง ม.2 หลังโดนเพื่อนทักว่าทำไมหน้าตาไม่คล้ายคนญี่ปุ่น ณเดชน์จึงมาถามความจริงกับสุดารัตน์จนทราบเรื่อง โดยณเดชน์ก็ยอมรับเรื่องดังกล่าว อีกทั้งยังรักและเคารพพ่อและแม่บุญธรรมเหมือนเดิม พร้อมกับยกย่องพ่อบุญธรรมชาวญี่ปุ่นเป็นฮีโร่ในดวงใจ และถือว่าตัวเองก็เป็นลูกครึ่งญี่ปุ่น
ณเดชน์เป็นคนชื่นชอบการฟังเพลงและเล่นดนตรีหลายอย่าง เช่นกีตาร์, อูกูเลเล โดยเมื่อว่างจากการถ่ายทำละครเขามักจะนำอูกูเลเล คอร์เน็ต และแบนโจมาเล่นบ่อย ๆ สมัยที่เรียนมัธยมต้นณเดชน์กับเพื่อนได้รวมกลุ่มก่อตั้งวงดนตรีเพื่อแสดงในกิจกรรมต่าง ๆ ของโรงเรียนชื่อวง ดีเอกซ์ โดยณเดชน์เป็นมือเบส และได้ร้องนำบ้างในบางโอกาส รวมถึงชื่นชอบการถ่ายภาพเป็นงานอดิเรก ส่วนกีฬาที่นิยมเล่นในเวลาว่างคือ ฟุตบอล, ว่ายน้ำ, กอล์ฟ ซึ่งโยชิโอสอนให้เมื่ออายุ 10 ปี และเทควันโด ซึ่งเคยเข้าแข่งขันได้รับรางวัลรองชนะเลิศในรุ่นเยาวชนชายอายุไม่เกิน 6-8 ปี จากรายการชิงแชมป์ประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2545 นอกจากนี้ณเดชน์ยังมีความศรัทธาและเข้าร่วมกิจกรรมทางพระพุทธศาสนาอย่างสม่ำเสมอ ได้ผ่านการบวชเณรมาเมื่อวัยเยาว์ จนกระทั่งได้รับรางวัลบุคคลผู้มีคุณธรรมส่งเสริมพระพุทธศาสนาเนื่องในวันวิสาขบูชา ประจำปี พ.ศ. 2554 โดยสภาศิลปินส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย
ณเดชน์เรียนอนุบาลที่โรงเรียนอนุบาลพิมานเด็ก ต่อชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนมหาไถ่ศึกษาชาย (ปัจจุบันเป็น โรงเรียนมหาไถ่ศึกษาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) กระทั่ง ป.5 ได้ย้ายไปเรียนที่โรงเรียนขอนแก่นวิเทศศึกษา จังหวัดขอนแก่น จนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย (สายวิทย์-คณิต) ระหว่างศึกษาได้เป็นตัวแทนโรงเรียนไปแข่งขันทางวิทยาศาสตร์หลายครั้ง เมื่อเข้าสู่ระดับอุดมศึกษาณเดชน์ได้คัดเลือกเข้าศึกษาต่อใน คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล หลักสูตรนานาชาติ แต่ไม่ผ่านการสอบคัดเลือก ณเดชน์จึงได้เลือกเรียนสาขาใหม่ในมหาวิทยาลัยเอกชน เนื่องจากขณะที่ศึกษาอยู่ชั้น ม.4 เขาเริ่มสนใจการผลิตภาพยนตร์สั้น รายการโทรทัศน์ จึงต้องการเรียนรู้การทำงานเบื้องหลัง เช่น กำกับการแสดง และสนใจศึกษาทฤษฎีต่าง ๆ เกี่ยวกับการถ่ายภาพนิ่ง ไม่ชอบการเรียนคณิตศาสตร์ ประกอบกับระยะนั้นเขาได้เข้าสู่วงการบันเทิงเป็นที่เรียบร้อย และเริ่มแสดงละครโทรทัศน์ จึงเลือกเข้าศึกษาต่อในสาขาวิชาการภาพยนตร์และวีดิทัศน์ คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต จวบจนณเดชน์สำเร็จการศึกษาและได้รับเกียรตินิยมอันดับ 2 ด้วยเกรดเฉลี่ย 3.31 ปัจจุบัน ณเดชน์กำลังศึกษาต่อในระดับปริญญาโท คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ดังเดิม
ครั้งเมื่อณเดชน์กำลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยม เขาเคยเป็นอาสาสมัครเข้าร่วมโครงการค่ายอาสาชนบทที่โรงเรียนแห่งหนึ่งอยู่ในเขตนอกอำเภอเมือง เป็นโรงเรียนประถมศึกษาขนาดเล็ก ณเดชน์ได้ดูแลและช่วยสอนภาษาอังกฤษให้กับเด็กนักเรียนในที่แห่งนั้น
เมื่อปี พ.ศ. 2551 ผู้จัดการนักแสดง ศุภชัย ศรีวิจิตร ได้ไปเยี่ยมบ้านของศุกลวัฒน์ คณารศ ที่ขอนแก่น และพบณเดชน์ซึ่งอาศัยในหมู่บ้านเดียวกันโดยบังเอิญ จึงร้องขอต่อสุดารัตน์ให้บุตรบุญธรรมเข้าร่วมเป็นนักแสดงในสังกัด ซึ่งเธอก็ยินยอม โดยก่อนหน้านั้นศุภชัยได้รู้จักกับอาจารย์ของณเดชน์ รวมทั้งเคยเห็นภาพณเดชน์จากอินเทอร์เน็ตมาบ้าง แต่เนื่องจากณเดชน์ยังมีอายุเพียง 15 ปี และกำลังศึกษาอยู่ชั้น ม.4 เขาใช้เวลาฝึกบุคลิกภาพ ความสามารถต่าง ๆ ด้านการแสดงเป็นเวลา 2 ปีก่อนที่จะพาเข้าสู่การทำงานในวงการ ปัจจุบันณเดชน์มีบ้านของตัวเองที่กรุงเทพมหานครแล้ว
ในตอนแรกณเดชน์ไม่มีความคิดอยากที่จะเป็นนักแสดง เพราะเคยมีอคติส่วนตัวต่อวงการบันเทิงไม่ชอบดูละคร แต่ด้วยคำแนะนำของสุดารัตน์และศุภชัยจึงได้เข้าสู่วงการดารานักแสดงทางฝั่งฮอลลีวูดที่ณเดชน์ชื่นชอบคือ นิโคล คิดแมน เพราะดวงตามีเสน่ห์ มองแล้วรู้สึกประทับใจ โดยให้เหตุผลว่า "ผมชอบเวลามองผู้หญิง แล้วเขามองกลับมาครับ เพราะตาของผู้หญิงแต่ละคนสามารถบอกได้ว่า เขาคิดยังไงกับเรา" แม้ณเดชน์มีภาพลักษณ์ที่สนุกสนานร่าเริง แต่เคยให้สัมภาษณ์ว่า บางครั้งมีโลกส่วนตัวสูง ไม่ต้องการพบปะผู้คน และต้องปรับตัวในการเข้าสู่วงการบันเทิงมาก
เมื่อเข้าเป็นนักแสดงในสังกัดของศุภชัยแล้ว ณเดชน์จึงเริ่มงานด้านการเดินแบบเป็นครั้งแรกในงานการกุศลของศูนย์ศิลปาชีพบางไทร ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ แล้วจากนั้นก็เริ่มมีผลงานถ่ายแบบให้กับนิตยสารหลายฉบับ โดยครั้งแรกที่ทำงานในวงการบันเทิง ณเดชน์ อายุ 17 ปี กำลังเรียนอยู่ชั้น ม.5 และผลงานแรกที่ปรากฏแพร่ภาพทางวิทยุโทรทัศน์คือภาพยนตร์โฆษณาหมากฝรั่ง ไทรเด้นท์ รีแคลเดนท์ คู่กับพัชราภา ไชยเชื้อ ต่อมาในปี พ.ศ. 2552 ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ได้มีการคัดเลือกนักแสดงขึ้น โดยณเดชน์ผ่านการคัดเลือกให้เข้ามาเป็นนักแสดงหน้าใหม่ เพื่อร่วมแสดงในละครโทรทัศน์ เงารักลวงใจ เป็นเรื่องแรก และในปี พ.ศ. 2553 ได้มีผลงานละครที่สร้างชื่อเสียงคือ ดวงใจอัคนี เกมร้ายเกมรัก ความนิยมจากการแสดงละครโทรทัศน์ส่งผลให้ณเดชน์ได้รับเลือกให้เป็นผู้นำเสนอในภาพยนตร์โฆษณาสินค้าเพิ่มขึ้นมากมายจากผลงานโฆษณาที่มีอยู่เป็นจำนวนมากของณเดชน์ทำให้โพสต์ทูเดย์กล่าวว่า ณเดชน์คือ "แชมป์พรีเซ็นเตอร์" รวมทั้งชื่อเสียงในการแสดงละครคู่กับอุรัสยา เสปอร์บันด์ ทำให้ได้นำเสนอภาพยนตร์โฆษณาต่าง ๆ ร่วมกันหลายเรื่องจนกระทั่งถูกเรียกให้เป็นพระนางคู่ขวัญกันทั้งสองคนถูกนำชื่อไปเป็นเรื่องราวสมมุติในงานจิตรกรรมฝาผนังร่วมสมัย เช่น ภาพพิธีมงคลสมรสที่วัดลำปางกลางตะวันออก แสดงวิถีการดำเนินชีวิตและขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมของคนภาคเหนือ เพื่อบันทึกไว้ให้คนรุ่นหลังศึกษาสืบทอดกันต่อไป ตามมาด้วยผลงานด้านอื่น ๆ เช่นการพากย์การ์ตูนแอนิเมชันสำหรับเยาวชน เรื่อง "ซุปเปอร์ฮีโร่ หล่อช่วยได้" หนึ่งในตัวละครหลักร่วมกับปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ และปริญ สุภารัตน์ ออกอากาศทางช่อง 3 ไปจนถึงการร่วมกิจกรรมทางสังคม ต่าง ๆ เช่น คณะทูตของโครงการรณรงค์ต้านภัยมะเร็งเต้านม 2554 โดยสภากาชาดไทย เป็นพรีเซ็นเตอร์รณรงค์เชิญชวนชายไทยคัดเลือกทหารของกองทัพบกไทย ประจำปี 2555 ในปี 2554-2555 ได้รับเลือกจากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ให้เป็นทูตพระพุทธศาสนาวิสาขบูชานานาชาติ เป็นต้น ซึ่งผลงานหลากหลายประเภทที่ทำไว้ในข้างต้นเป็นจำนวนมาก บางกอกโพสต์จึงเรียกณเดชน์ว่า "Mr Everywhere" โดยเหตุผลของหนังสือพิมพ์มาจากการที่ประชาชนสามารถพบเห็นณเดชน์ตามแหล่งสื่อต่าง ๆ ต่อเนื่องอยู่ตลอดเวลา
ในวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2555 รายการ เช้าดูวู้ดดี้ ออกอากาศทางช่องโมเดิร์นไนน์ทีวี ได้มีการถ่ายทอดเทปบันทึกเรื่องราวของ "ด.ญ.พรสุภาดา คำกำพุทธ" มีชื่อเล่นว่า "มอมแมม" ที่อาการดีขึ้นอย่างเป็นปรากฏการณ์คล้ายปาฏิหาริย์ หลังจากการดูละคร "เกมร้ายเกมรัก" และชื่นชอบตัวละคร "สายชล" พระเอกของเรื่องรับบทโดยณเดชน์ เป็นแรงบันดาลใจทำให้ปฏิกิริยาของร่างกายฟื้นจากอาการป่วยเร็วขึ้นทุกครั้งก่อนได้รับการผ่าตัด โดยบิดาของเด็กหญิงได้กล่าวไว้ในข้างต้นว่า "ในช่วงเขาป่วยเข้าโรงพยาบาลก็จะไปดูแลเขาตลอด ต้องเขาผ่าตัดมา 3 ครั้งแล้ว ครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม ก็ยังไม่ได้ออกจากโรงพยาบาลเลย เกือบเสียชีวิตไปแล้วเมื่อ 2 ครั้งที่แล้ว แต่ก็รอดมาได้อย่างหวุดหวิด ซึ่งทุกครั้งก็จะทำใจไว้ล่วงหน้า เพราะอาการหนักมากจริง ๆ แต่ครั้งล่าสุดเขาบอกว่าเขาจะกลับมาหาสายชล ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าคืออะไร มารู้ที่หลังว่าเขาชอบดูละครเรื่องนี้ และชอบสายชลมาก คุณหมอบอกว่าอาการดีขึ้นทุกครั้งที่ได้ดูสายชล" โดยมอมแมมเป็นเด็กหญิงวัย 7 ขวบ มีหัวใจเพียงแค่ 2 ห้อง และไม่มีเส้นเลือดไปเลี้ยงที่ปอด ทำให้ไม่สามารถใช้ชีวิตเหมือนเด็กทั่วไปได้ หลังจากที่ณเดชน์ทราบเรื่องจึงเดินทางมาพบเด็กหญิงเพื่อมาให้กำลังใจพบปะพูดคุยกับเด็กหญิง เมื่อวันที่ 19 มกราคม ที่สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี บริจาคเงินให้ครอบครัวของเด็กหญิงอีก 50,000 บาท วันรุ่งขึ้นเป็นพาดหัวข่าวใหญ่บนหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์หลายฉบับ และรายการโทรทัศน์บันเทิงหลายช่อง จนวันที่ 22 มกราคม เด็กหญิงสามารถออกจากโรงพยาบาล และกลับมาเรียนหนังสือได้อย่างเป็นปกติ
การจัดงานวันแม่แห่งชาติปี 2555 ณเดชน์ได้รางวัลลูกที่มีความกตัญญูกตเวทีอย่างสูงต่อแม่ จากสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ มีจำนวนทั้งสิ้น 85 คน จาก 330 คน ซึ่งณเดชน์เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับรางวัลประเภท นักร้อง นักแสดง ศิลปิน โดยเข้ารับพระราชทานโล่ประกาศเกียรติคุณจากพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ ณ อาคารใหม่ สวนอัมพร ในปีต่อมาณเดชน์ได้รับประกาศเกียรติคุณเป็นทูตพระพุทธศาสนาวิสาขบูชานานาชาติ ประจำปี พ.ศ. 2556 และการประกาศเกียรติคุณรางวัลครอบครัวชาวพุทธมามกะ จากทางมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
เมื่อปี พ.ศ. 2555 มีผลงานแสดงละครเรื่อง ธรณีนี่นี้ใครครอง แสดงร่วมกับอุรัสยา เสปอร์บันด์อีกหน การแสดงของทั้งคู่กรุงเทพธุรกิจวิจารณ์ไว้ว่า "ได้เผยถึงความหลากอารมณ์ มีหลายอย่างปน ๆ กันอยู่ แล้วปล่อยออกมาแบบกระตุ้นการรับรู้" (sensory stimulus) นอกจากงานแสดงแล้ว ณเดชน์ยังได้มีส่วนร่วมกำกับภาพยนตร์กับเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเชียงคาน ซึ่งเป็นผลงานการกำกับครั้งแรก และปีเดียวกันนี้ ณเดชน์ได้มีงานแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิตคือ คู่กรรม รับบทเป็น "โกโบริ" ทหารญี่ปุ่น ซึ่งณเดชน์ได้เข้าเรียนภาษาญี่ปุ่นเพิ่มเพื่อการพูดภาษาไทยให้มีสำเนียงเหมือนชาวญี่ปุ่น แสดงร่วมกับอรเณศ ดีคาบาเลส นักแสดงหน้าใหม่ กำกับภาพยนตร์โดยกิตติกร เลียวศิริกุล ผลิตโดยเอ็ม เทอร์ตี้ไนน์ ทางด้านผู้จัดจันทิมา เลียวศิริกุล กล่าวถึงเหตุผลที่เลือกณเดชน์ เพราะโกโบริคือณเดชน์ ว่า "เพราะเขาคือคนที่เหมาะที่สุด เราไม่เคยคิดจะเปลี่ยนตัวเป็นคนอื่น และถ้าไม่ได้น้องเขาจริง ๆ โปรเจกต์นี้ก็คงต้องเก็บไว้ก่อน"
ในปี พ.ศ. 2556 ณเดชน์ได้รับเลือกให้แสดงในละครเรื่อง "รอยฝันตะวันเดือด" จากละครซีรีส์ชุด "The Rising Sun" รับบทเป็นคนญี่ปุ่นชื่อ ริว แสดงคู่กับคู่ขวัญ อุรัสยา เสปอร์บันด์ ออกอากาศในปี พ.ศ. 2557 และยังได้ร้องเพลงประกอบละครร่วมกัน ในเพลง แล้วเราจะได้รักกันไหม ซึ่งเพลง "แล้วเราจะได้รักกันไหม" ติดอันดับสูงสุดที่ 1 จากการจัดอันดับของซี้ดเอฟเอ็มในชาร์ตของ ซี้ดเอฟเอ็ม ชาร์ตท็อป 20 ประจำวันที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2557 โดยวัดจากการออกอากาศของคลื่นวิทยุในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนาน 40 สถานี และละครซีรีส์ชุดนี้ยังได้รับรางวัล สเปเชียล อวอร์ด จากองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากซีรีส์ชุดนี้ได้ถ่ายทอดสถานที่ท่องเที่ยวและวัฒนธรรมญี่ปุ่นอย่างสวยงาม จนมีนักท่องเที่ยวเดินทางตามรอยสถานที่ต่าง ๆ
ในปี พ.ศ. 2557 แสดงละครเรื่อง "ลมซ่อนรัก" การพบกันครั้งแรกกับ แต้ว ณฐพร เตมีรักษ์ จะออกอากาศในปี พ.ศ. 2558 และยังได้รับบทฝาแฝดเรื่องแรกของณเดชน์อีกด้วย ซึ่งหลังจากละครออกอากาศก็ได้รับกระแสทั้งในพันทิป ทวิตเตอร์และยูทูปอย่างล้นหลาม จนมีการเรียกร้องจากแฟนละครว่าอยากเห็นณเดชน์แสดงละครคู่กับแต้วอีก[ต้องการอ้างอิง]